ไฟล์บีบอัด และรูปแบบอื่น ๆ ที่สามารถบันทึกเป็นเอกสารออนไลน์ได้ ตัวอย่างเว็บไซต์ที่มีลักษณะเป็น Search Engine มีดังนี้
- http://www.google.com
- http://www.live.com
- http://www.yahoo.com
- http://www.baidu.com
- http://www.ask.com
กระบวนการทำงานของ Search Engine
โดยปกติแล้ว Search Engine จะมีเครื่องมือที่ชื่อว่า Robot (หุ่นยนต์) ในการสืบค้นเว็บไซต์ต่าง ๆ เพื่อนำมาจัดเก็บในระบบฐานข้อมูลด้วยการทำ Index โดย Robot จะเดินทางจากเว็บหนึ่ง ไปอีกเว็บหนึ่งผ่าน Hyperlink ที่มีอยู่ในเว็บไซต์นั้นๆ
การเรียงลำดับผลลัพธ์จากการค้นหา
Search Engine มีอัลกอลิธึ่มในการจัดลำดับผลลัพธ์การค้นหาแตกต่างกันไป ซึ่งโดยปกติแล้วส่วนมากจะเรียงจากความสัมพันธ์กับคำค้นที่ใช้ค้นหา และมีปัจจัยอื่น ๆ อีก เช่น ประเทศ ภาษา ขนาดของไฟล์ จำนวนผู้เข้าชม ความถี่ในการอัพเดทข้อมูล จำนวนลิงค์ เป็นต้น
ก่อนจะลงมือทำ SEO ด้วยเทคนิควิธีอื่น ๆ สิ่งแรกที่ไม่ควรมองข้าม คือ เริ่มจากจุดเล็ก ๆ ภายในเว็บไซต์ที่พัฒนาขึ้นก่อน เราจะเรียนรู้บางสิ่งที่เคยมองข้าม แต่สำคัญกับการทำ SEO
การออกแบบเว็บไซต์ที่ดี (Design and Content Guidelines) ควรมีลักษณะดังนี้
- ควรออกแบบเว็บไซต์ให้มี Navigation สำหรับเชื่อมโยงทั่วถึงกันแต่ละหน้า เพื่อให้ Robot ของ Search Engine สามารถ Crawl ได้อย่างทั่วถึง
- ควรจัดทำ Sitemap ของเว็บไซต์
- ควรใช้ Header Tags สำหรับหัวข้อที่สำคัญ
- ควรจัดทำเนื้อหาที่ชัดเจน มีการเน้นจุดต่าง ๆ ที่เป็นข้อมูลสำคัญ ด้วยการใช้ตัวอักษรตัวหนา (Bold) ตัวเอียง (Italic) หรือขีดเส้นใต้ (Underline) ตามความเหมาะสม
- ควรใช้ Title Tags สำหรับ Hyperlinks และ Alt Tags สำหรับรูปภาพ
- ควรควบคุมปริมาณการเชื่อมโยง (Hyperlinks) ไม่ควรเกิน 100 Links ต่อหนึ่งหน้า
- ควรควบคุมขนาดการแสดงผลหน้าเว็บไซต์ (ทั้ง Text และ Images และ Multimedia ทั้งหมด) ให้มีขนาดที่เหมาะสม
ศัพท์น่ารู้
- Navigation คือ หัวข้อ หรือ เมนู หรือ รายการต่าง ๆ ที่เป็นหน้าหลัก ๆ ของเว็บไซต์
- Crawl คือ การเดินทางของ Robot ซึ่งจะเดินทางไปตามการเชื่อมโยงต่าง ๆ
- Sitemap คือ แผนผังของเว็บไซต์ (คล้าย ๆ กับการทำ สารบัญ)
- Header Tags คือ Tags ที่ใช้กำหนดหัวเรื่อง หรือหัวข้อ เช่น
- Alt Tags หรือ Alternative Tags คือ Tags ที่ใช้แสดงข้อความเมื่อไม่สามารถแสดงรูปภาพได้ เป็น Attribute ภายใต้ Tags
หลังจากได้รู้จักคำนิยามต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการทำ SEO กันไปพอสมควรแล้ว บทความนี้เราจะจำแนกประเภทการทำ SEO กันครับ การทำ SEO ถูกจำแนกออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ ดังนี้
White Hat SEO (SEO หมวกสีขาว)
การทำ SEO ประเภท White Hat คือ การทำเว็บคุณภาพ และทำ SEO โดยยึดแนวปฏิบัติต่าง ๆ ที่ Search Engine หลาย ๆ ค่ายแนะนำไว้ ซึ่งควรมีลักษณะดังนี้
- หลีกเลี่ยงการทำ Hidden text หรือ Hidden Links
- หลีกเลี่ยงการทำ Doorway
- ไม่ทำ Spam Keyword
- ไม่ทำ Duplicate Content
- ไม่ทำ Cloaking หรือ Sneaky Redirects
Black Hat SEO (SEO หมวกสีดำ)
การทำ SEO ประเภท Black Hat คือ การทำ SEO โดยใช้เทคนิคต่าง ๆ ที่ไม่เป็นไปตามแนวปฏิบัติเพื่อให้ได้ประโยชน์ทาง SEO โดยไม่สนใจถึงความเหมาะสม ตามลักษณะที่ตรงข้ามกับการทำ White Hat SEO ทุกประการ (ไม่แนะนำให้ทำอย่างยิ่ง)
นอกจากหมวกขาวและหมวกดำแล้ว ในปัจจุบันยังมีการแบ่งประเภทแบบไม่เป็นทางการอีก 1 ประเภท คือ Gray Hat SEO (SEO หมวกสีเทา) ที่ทำ SEO แบบกึ่งหมวกขาวและหมวกดำ
ตัวอย่างเช่น การทำ Spam Keyword โดยการแต่งประโยคที่มี Keyword อยู่ในประโยคมาก ๆ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการทำ Black Hat SEO จะได้ผลเร็ว แต่ก็มักจะได้ผลแค่ระยะสั้น ๆ จึงขอสนับสนุนให้นัก SEO ทุกท่านทำเว็บด้วย White Hat SEO เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีในระยะยาวครับ
ศัพท์น่ารู้
- Hidden Text คือ การซ่อนข้อความ ไม่ให้เห็นโดยมนุษย์แต่สามารถเห็นได้โดย Robot ของSearch Engine เช่น การทำสีตัวอักษรกับสีพื้นหลังเป็นสีเดียวกัน
- Hidden Links คือ การซ่อนลิงค์ ไม่ให้เห็นโดยมนุษย์แต่สามารถเห็นได้โดย Robot ของ Search Engine เช่น การใช้ style=”display:none” ครอบแท็กของ Hyperlinks
- Spam Keyword คือ การทำหน้าเว็บที่มีแต่ Keyword มากมาย
- Duplicate Content คือ การคัดลอกหน้าเว็บให้เหมือนกัน เพื่อเพิ่มจำนวนหน้าของเว็บแบบไม่มีคุณภาพ
- Doorway คือ การส่ง Robot ของ Search Engine ไปในหน้าที่มีแต่ Keyword ก่อนแสดงผลหน้าเว็บที่มีเนื้อหา
- Cloaking คือ การทำหน้าเว็บที่แสดงผลแตกต่างกัน เมื่อถูกเรียกโดย Robot ของ Search Engine และผู้เข้าชมเว็บทั่ว ๆ ไป (แสดงผลให้คนอย่างหนึ่ง ให้บอทอย่างหนึ่ง)
- Sneaky Redirects คือ การเปลี่ยนการแสดงผลจากหน้าหนึ่ง ไปอีกหน้าหนึ่งอย่างรวดเร็ว
ซึ่ง Robot ของ Search Engine จะเก็บข้อมูลเหล่านี้ไปใช้ในการประมวลผลจัดเก็บเว็บไซต์ เรามาทำความรู้จักกับ Meta Element แต่ละ Tags กันดีกว่าครับ ผมจะใช้ความรู้สึกของผมในการวัดว่า Tags ใด มีผลกับการทำ SEO มากหรือน้อยในวงเล็บหลังหัวข้อนะครับ (ซึ่งไม่จำเป็นต้องเชื่อผมก็ได้)
Title Element - Page Titles (มีผลกับการทำ SEO มาก)
ใช้สำหรับบอกว่า หน้าเว็บไซต์ที่กำลังแสดงผลอยู่มีหัวข้อว่าอะไร เช่น
title SEO - Meta Tags /title;
Meta Description Tag (มีผลกับการทำ SEO ปานกลาง)
ใช้สำหรับแสดงรายละเอียดสั้น ๆ ของหน้าเว็บไซต์ที่กำลังแสดงผลอยู่ ไม่ควรเขียนให้สั้น หรือ ยาวจนเกินไป ข้อความที่เขียนควรสัมพันธ์กับเนื้อหาของหน้านั้น ๆ ด้วยนะครับ เช่น
meta name=”description” content=”Thailand Search Engine Optimization Blog” ;
Meta Keywords Tag (มีผลกับการทำ SEO ปานกลาง)
ใช้สำหรับระบุคำค้น ที่สามารถเข้ากันได้กับเนื้อหาในหน้าเว็บนั้น ๆ สามารถใส่ได้หลายคำ และแบ่งคำโดยใช้เครื่องหมายจุลภาค ( , ) เช่น
meta name=”keywords” content=”seo,seo thai,seo blog,seo tools” ;
Meta Language Tag (มีผลกับการทำ SEO มาก)
ใช้สำหรับระบุว่า หน้าเว็บไซต์นั้น ๆ มีเนื้อหาเป็นภาษาอะไร เช่น
meta http-equiv=”content-language” content=”th” ;
Meta Content Type Tag (มีผลกับการทำ SEO มาก)
ใช้สำหรับระบุว่า หน้าเว็บไซต์นั้น ๆ สามารถแสดงผลได้ถูกต้องด้วยชุดตัวอักษรแบบใด และเป็นเอกสารประเภทอะไร เช่น
meta http-equiv=”content-type” content=”text/html; charset=UTF-8″ ;
Meta Revisit-After Tag (มีผลกับการทำ SEO ปานกลาง)
ใช้สำหรับบอกกับ Robot ของ Search Engine ว่า ให้มาเก็บข้อมูลอีกครั้งในอีกกี่วันข้างหน้า เช่น
meta name=”revisit-after” content=”7 days”
Meta Robots Tag (มีผลกับการทำ SEO มาก)
ใช้สำหรับบอก Robot ของ Search Engine ว่าให้ Robot เก็บข้อมูลในหน้านั้นไป Indexs หรือไม่ หรือ ให้ Robot เดินทางไปตาม Links ที่ปรากฎในหน้านั้น ๆ หรือไม่ เช่น
meta name=”robots” content=”index, follow” ;
ที่มา seo.siamsupport.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น