หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

CCNA need or not?

แนะนำให้อ่านก่อนน่ะครับ เป็นแนวทางทางความคิด ณ ปัจจุบันที่เป็นคำถามมากมาย


เนื่อง จากคิดว่าเนื้อหาส่วนนี้น่าจะแป็นประโยชน์กับหลายๆคนที่กำลังดูเรื่องการสอบ Cert อยู่ ก็เลยนำมาPostใหม่อีกรอบเพื่อให้อ่านง่ายขึ้นครับ

ผมมีข้อคิดเห็นเกี่ยวกับการสอบ cert ที่มีหลายๆคนมองต่างกันว่า
- Cert เป็นแค่ใบกระดาษ ท่อง testking(TK) ไปสอบก็ผ่านแล้ว
- Cert เป็นเครื่องช่วยให้หางานได้ง่ายขึ้น ถึงแม้จะท่อง TK ไปสอบมาก็ตาม
- Cert เป็นเครื่องวัดคนที่มีความสามารถจริงๆ
- เห็นมีถมถืดไป คนที่ได้ Cert แต่ไม่เห็นทำงานได้จริงเลย
- อื่นๆ

จาก ที่ยกมา (ซึ่งมีหลายๆคนคิดอย่างนี้จริงๆ) ก็เลยกลายมาเป็นว่าการสอบ cert และ TK จะกลายเป็นเรื่องที่จับคู่กันแล้วดูไม่ดี เพราะเหมือนกับการแอบอ่านข้อสอบก่อนทำ เพราะฉะนั้นการได้ cert มาก็ไม่ใช่เครื่องชี้วัดความสามารถได้จริง

ผมอยากจะยกตัวอย่างในความคิดผมเพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น หากท่านใดมีข้อคิดในมุมอื่นๆก็ลองช่วยกันคิดดูนะครับ

มี นักเรียนสาย IT (หรือ Comp engก็แล้วแต่) 5 คน จบจากที่เดียวกันด้วยเกรดพอๆกัน แล้วก็ได้มาทำงานที่บริษัทเดียวกันในบริษัทขนาดกลางแห่งหนึ่ง ทั้งหมดได้ทำงานที่บริษัทนี้มาแล้วสามปีในตำแหน่ง network admin ของแผนก IT ทั้งหมดคุยกันว่าที่ทำงานให้เงินเดือนค่อนข้างน้อยจึงอยากจะเปลี่ยนงานใหม่ โดยทั้งหมดอยากทำสาย network เหมือนๆกัน (สงสัยเป็นฝาแฝดกันเพราะมักคิดเหมือนๆกัน) โดยทั้งหมดอยากไปทำงานที่บริษัท x ซึ่งเป็น SI (System Integrator) ขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง โดยบริษัทนี้เป็น cisco partner ในประกาศรับสมัครงานนั้นระบุว่าต้องการรับสมัคร Network Engineer ที่มีความรู้ความสามารถเกี่ยวกับ cisco product ทั้งหมดจึงตัดสินใจเริ่มศึกษา cisco product โดยเห็นพร้องต้องกันว่าน่าจะเริ่มจากระดับ ccna แต่เนื่องจากแต่ละคนมีวิธีการศึกษาที่แตกต่างกัน ซึ่งแยกออกมาได้ดังนี้

หมายเหตุ ทุกคนมีข้อจำกัดในการศึกษาเหมือนกันหมดคือ ต้องอ่านเอาเอง ไม่มีเครื่องจริงให้เล่น

1. นาย A มองว่า บริษัท X เป็น cisco partner เขาต้องอยากได้คนที่มี cert เป็นแน่นอน เพราะฉะนั้นเป้าหมายของเราคือการได้ cert ดังนั้น นาย A ก็เลยไปหา TK-CCNA เวอร์ชั่นล่าสุดมาท่อง แล้วสอบได้ โดยได้คะแนนมากถึง 900/1000 นาย A ก็รีบส่งใบสมัครไปที่บริษัท X

2. นาย B มองว่า บริษัท X เป็น cisco partner เขาต้องอยากได้คนทำงานกับ cisco product เป็นแน่นอน เพราะฉะนั้นเป้าหมายของเราคือการอ่านหนังสือ ccna ให้จบ เพื่อให้รู้ทุกเรื่องในหนังสือ หลังจากอ่านจบ นาย B มั่นใจว่าเข้าใจในทุกเรื่องที่อ่านมา แต่ดันไปเห็นว่า นาย A ท่อง TK ไปสอบ cert ได้มา ก็เลยปรามาสว่าได้ cert เพราะท่อง TK นาย B ก็เลยตัดสินใจไม่สอบ cert เพราะคิดว่ามีวิธีการได้ cert มาที่แสนจะง่ายดาย เพราะฉะนั้น cert ไม่ใช่สิ่งสำคัญ การอ่านหนังสือให้ครบถ้วนต่างหากที่เป็นเรื่องสำคัญ จากนั้นนาย B ก็ส่งใบสมัครไปที่บริษัท X

3. นาย C ทำเหมือนนาย B ทุกอย่าง ที่ต่างกันตอนจบตรงที่ว่า ในเมื่ออ่านหนังสือจบมาแล้ว ไปสอบ cert ดีกว่า โดยจะไม่อ่าน TK ไปสอบ เพราะมั่นใจว่าอ่านหนังสือเข้าใจแล้ว และไม่อยากโดนคนอื่นปรามาสเอาว่าแอบอ่านข้อสอบก่อนไปสอบ โดยเขาย้อนกลับไปทำแบบฝึกหัดท้ายบททุกบทเพื่อเพิ่มความมั่นใจมากขึ้น ปรากฏว่านาย C สอบผ่าน ได้คะแนน 880 มาอย่างฉิวเฉียด นาย C ภูมิใจกับ cert ที่ได้มามาก เพราะทุกอย่างได้มาด้วยตัวเองทั้งหมด จากนั้นนาย C ก็ส่งใบสมัครไปที่บริษัท X

4. นาย D ทำเหมือนนาย C ทุกอย่าง (รวมถึงการทำแบบฝึกหัดท้ายบท)ที่ต่างกันตอนจบตรงที่ว่า นาย D ไปเอาข้อสอบ TK-CCNA เวอร์ชั่นล่าสุดมาท่องเพื่อให้มั่นใจว่าจะสอบได้ผ่านแน่ๆ ปรากฏว่านาย D สอบผ่าน ได้คะแนน 950/1000 นาย Dภูมิใจกับ cert ที่ได้มาด้วยคะแนนที่สูง ถึงแม้นาย C จะตำหนิว่าแอบท่องข้อสอบเข้าไป แต่นาย D บอกว่า ถึงจะท่อง Tk แต่เขาก็อ่านหนังสือจบเหมือนๆกับนาย B และนาย C ช่วงระยะเวลาในห้องสอบแค่ 3 ชั่วโมงไม่ได้ทำให้ทั้งสามคนมีความรู้เพิ่มขึ้นจนแตกต่างกันหรอก เพราะฉะนั้น ความรู้ที่มีอยู่ในหัวก็พอๆกัน แต่การได้ cert มาด้วยคะแนนสูงๆ จะทำให้บริษัท x สนใจในตัวเขามากกว่าคนอื่นๆ จากนั้นนาย D ก็ส่งใบสมัครไปที่บริษัท X

5. นาย E ทำเหมือนนาย C ทุกอย่าง ที่ต่างกันตอนจบตรงที่ว่า ในเมื่ออ่านหนังสือจบมาแล้ว ไปสอบ cert ดีกว่า แต่ต่างจากนาย C และนาย D ตรงที่ว่า นาย E ไปหา TK-CCNA เวอร์ชั่นล่าสุดมาแล้วพบว่า ใน TK มีข้อสอบทั้งหมดกว่า 600 ข้อ ในขณะที่ข้อสอบจริงมีแค่ 50 ข้อเอง นาย E ไม่ได้ใช้วิธีท่อง TK แต่กลับค่อนๆศึกษาTk ทีละข้อและตอบคำถามด้วยตัวเอง ปรากฏว่ารอบแรก นาย E ตอบถูกแค่ 65% จาก 600 ข้อ นาย E จึงย้อนกลับไปดูข้อที่ตอบผิด แล้วก็ย้อนกลับไปศึกษาในหนังสือเฉพาะหัวข้อนั้นๆอีกรอบหนึ่ง หลังจากนั้นนาย E ลองทำข้อสอบที่เคยผิด ปรากฏว่ารอบนี้สามารถตอบข้อที่เคยผิดได้ ค่อนข้างเยอะ แต่ก็ปรากฏว่ายังมีอีกประมาณ 10% (จาก 600ข้อ) ที่ยังตอบผิด (ถึงแม้นาาย E จะจำข้อสอบได้เพราะเคยอ่านผ่านมาแล้ว แต่นาย E ก็ยังมั่นใจในคำตอบตัวเอง จึงตอบตามความคิดตัวเอง แล้วก็ผิด) นาย E พบว่าหนังสือที่อ่านนั้นมีเนื้อหาไม่ครอบคลุมในรายละเอียดบางส่วน นาย E จึงต้องเข้า web cisco เพื่อหาหลักฐานมายืนยันว่าตัวเองผิดจริงหรือไม่ นาย E ทำอยู่อย่างนี้จนครบทุกข้อที่ตัวเองยังทำผิดอยู่ จานั้นนาย E ก็ไปสอบ cert นาย E พบว่าข้อสอบ cert ไม่ได้มีอะไรที่แตกต่างจาก testking ที่อ่านมาเลย นาย E ได้คะแนน 990/1000 จากนั้นนาย E ก็ส่งใบสมัครไปที่บริษัท X


จากนี้อยากให้ทุกท่านลองวิเคราะห์ด้วยคำถามเหล่านี้ดูนะครับ

1. บริษัท X จะเรียกทั้ง 5 คนมาสัมภาษณ์หรือไม่?
-คำตอบที่น่าคิดคือ อาจจะไม่ มีความเป็นไปได้สูงที่บริษัท X จะเลือกเฉพาะคนที่มี cert เข้ามาสัมภาษณ์ก่อน เพราะในมุมมองของบริษัท X เขาไม่ได้รู้จักทั้ง 5 คน เขาแค่ได้เห็น resume ที่ส่งมาให้เท่านั้นแล้วเห็นว่า ทั้ง 5 คนทำงานที่เดียวกันประสบการณ์เหมือนๆกัน ใน resume ก็บอกว่ามีความสามารถทำงานกับ cisco product ได้เหมือนๆกัน ต่างกันนิดเดียวตรงที่ว่า บางคนมี cert แต่บางคนไม่มี cert แต่บริษัท X ก็พอรู้อยู่แล้วว่า การได้ cert มาแบบง่ายๆนั้นเขาทำกันอย่างไร เพราะฉะนั้นก็ต้องเรียกเข้ามาคุยดูก่อนสำหรับคนมี cert แต่สำหรับมุมมองคนสัมภาษณ์ (มักเป็นระดับผู้จัดการขึ้นไป) จะรู้สึกว่า ขี้เกียจสัมภาษณ์หลายคน เขาจะบอกให้ฝ่ายบุคคลหรือ พวก head hunter ให้ screen เอาเฉพาะคนที่มี potential เข้ามาสัมภาษณ์เท่านั้น ไม่ต้องส่งมามากนัก เพราะไม่มีเวลาสัมภาษณ์มากนัก (นี่คือเบี้องหลังของคนสัมภาษณ์งาน)
-จากที่กล่าวมา น่าจะพอสรุปได้ว่า ใบ cert ใน resume ทำให้มีโอกาสถูกเรียกสัมภาษณ์ได้มากกว่าคนไม่มี cert คุณว่าจริงหรือไม่

2. สมมุติว่ามี 4 คนที่ถูกเรียกมาสัมภาษณ์ในรอบแรก คุณคิดว่าใครน่าจะตกสัมภาษณ์รอบแรกก่อนเพื่อน?
-มีความเป็นได้สูงมากที่นาาย A จะตกก่อนเพื่อน เพราะคนที่สัมภาษณ์เรา มักจะเป็นระดับ senior engineer หรือ manager ซึ่งเขามีความรู้เรื่องงานเขาเป็นอย่างดี เขาก็น่าจะถามเราลึกพอสมควรในรายละเอียดของเนื้องาน และสำหรับคนที่ท่อง Tk สอบจนผ่าน ผมการันตีได้เลยว่าความทรงจำของมนุษย์ในรูปแบบการท่องแบบนี้ อยู่ได้ไม่เกินสองอาทิตย์ ก็ลืมแล้ว หรือถ้าเขาถามไม่ตรงกับข้อสอบ ก็ตอบไม่ได้อยู่ดี
-จากที่กล่าวมา น่าจะพอสรุปได้ว่า การได้ใบ cert จากการท่อง TK มาไม่น่าจะช่วยให้ได้งานได้มากนักถึงแม้จะถูกเรียกสัมภาษณ์ก็ตาม เพราะคนถามเขารู้เองแหละว่าเรามีความรู้แค่ไหน

3. ตอนนี้เหลือ 3 คน C,D,E
- เทียบนาย C นาย D สองคนนี้ อ่านหนังสือเล่มเดียวกันทำแบบฝึกหัดท้ายบท เป็นไปได้ว่าทั้งคู่มีความรู้ในเนื้อหาในระดับที่ใกล้เคียงกันมาก ต่างกันแค่คะแนนสอบ ccnaนาย C/D คือ 880/950 มีความเป็นไปได้สูงว่า หลังจากสัมภาษณ์แล้ว บริษัท X จะมองว่านาย C และนาย D มีความรู้ไม่แตกต่างกัน ต่างกันแค่คะแนนสอบเท่านั้นเอง ถ้าคุณเป็นคนสัมภาษณ์แล้วต้องเลือกเพียงหนึ่งคุณจะเลือกใคร สำหรับผม ถ้าทั้งคู่ดูแล้วไม่แตกต่าง แต่ต้องเลือกหนึ่งคน ผมก็จะเลือกนาย D เพราะได้คะแนนสูงกว่า คะแนนไม่ได้เป็นเครื่องชี้วัดที่สมบูรณ์แบบ แต่ถ้าคนสัมภาษณ์หลังจากคุยกันแล้วเขากลับให้สองคนคะแนนเท่าๆกัน ทีนี้ตัวเลขจะเป็นเครื่องช่วยในการตัดสินใจของคนสัมภาษณ์โดยปริยาย เพราะทำให้เขาตอบตัวเองได้ว่าทำไมเขาถึงเลือกคนนี้
- จากที่กล่าวมา ในกรณีที่คนที่มีความรู้เท่าๆกัน คนที่ได้คะแนนสูงกว่าย่อมดูมีโอกาสมากกว่าเสมอ คนถามเขาไม่ถามหรอกว่า คุณอ่าน TK ไปสอบหรือเปล่า เพราะเขารู้อยู่แล้วว่าถามไปใครจะตอบ

4.ตอนนี้เหลือ 2 คน นาย D นาย E
-สองคนนี้ผมเชื่อว่าทุกคนน่าจะเห็นเหมือนกันว่า นาย E น่าจะรู้เรื่องมากกว่านาย D อยู่พอสมควร ทั้งคู่ทำทุกอย่างเหมือนกัน ต่างกันแค่ตอนสุดท้าย นาย D ท่อง TK แต่นาย E กลับศึกษา TK คุณเชื่อไหมว่าหนังสือ ccna ไม่ว่าจะเป็นของ cisco press, syngress, sybex หรือค่ายไหนๆ ก็ไม่เคยมีเล่มไหนที่เขียนได้ครอบคลุมในรายละเอียดและอธิบายได้ชัดเจยทุก เรื่อง การศึกษาจากตำราเพียงเล่มเดียวแล้วคิดว่าเข้าใจทุกเรื่อง เป็นสิ่งที่อาจจะคาดเคลื่อนไปหน่อย ใน TK มีตัวอย่างข้อสอบอยู่ราวๆ 600 ข้อ มีทั้งที่เป็นของจริงและที่ Testking ใส่เพิ่มเข้าไปเอง การศึกษา TK จะทำให้มองเห็นอีกมุมด้านหนึ่งของเนื้อหาที่มีถามใน TK แต่ไม่ได้ถูกอธิบายในหนังสืออยู่หลายๆครั้ง ซึ่งเรามักจะตอบข้อนั้นผิดเสมอ ถ้าเราท่อง TK เราก็จะจำได้แค่ประโยคไม่กี่ประโยค แต่ถ้าเราศึกษาและหาคำตอบจากแหล่งอื่น เราก็จะรู้อะไรดีๆมากกว่าในหนังสือเสียอีก
- จากที่กล่าวมา จะพบว่าคนที่ช้ TK เป็นจะเป็นคนที่ได้เปรียบที่สุด

สรุป

1. คนท่องแต่ TK ไปสอบ คุณก็ได้แค่กระดาษแผ่นหนึ่ง โดยใช้เงินกว่า หกพันบาทไปซื้อมา โดยไม่ได้มีความรู้อะไรติดตัวอย่างแท้จริง แบบนี้เรียกได้ว่าเป็นคนโง่โดยสมบูรณ์แบบ เพราะยอมเอาเงินหกพันไปแรกกับกระดาษ A4 มาหนึ่งแผ่น

2. คนที่คิดแต่ว่า cert ใครๆก็ได้มาง่ายๆ เพราะฉะนั้นอย่าไปสนใจมันดีกว่า คนแบบนี้คุณก็รอเงินเดือนขึ้นแต่ละปี ปีละ 3-5% จากบริษัทเดิมไปเรื่อยๆแล้วกัน โอกาสเปลี่ยนงานใหม่ที่ท้าทายขึ้นแล้วเงินเพิ่มที 30-50% ก็น้อยหน่อย เพราะไปยึดติดกับเรื่องไม่เป็นเรื่องจนทำให้เป็นอุปสรรคต่อการก้าวไปข้าง หน้า

3. TK มีทั้งข้อดีและข้อเสียในตัวมันเอง ใช้เป็นก็ได้ประโยชน์ ใช้ไม่เป็นก็เสียเวลาไปกับมันเปล่าๆ คนที่ไม่ยึดติดแล้วมุ่งแต่อย่างเดียว เพื่อให้เพิ่มพูนความรุ้มากขึ้นๆ เท่านั้นจะรู้ว่าเขาควรใช้ TK อย่างไร และใช้มันได้อย่างภาคภูมิได้อย่างไร โดยไม่ไปยึดติดตามประโยคแค่ว่า อ่าน Testking ก็เหมือนกับขโมยอ่านข้อสอบมาก่อน

4. ในชีวิตการทำงานจริง เมื่อคุณก้าวขึ้นสูงถึงระดับหนึ่ง cert จะไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป เพราะคุณจะกลายเป็นคนสั่งคนที่มี cert ทำงานแทนคุณ และเมื่อนั้นก็จะมีคนในระดับข้างล่างแอบนินทาคุณข้างหลังสองแบบ พวกแรกจะบอกว่า

"ไม่รู้เรื่องแล้วยังมาสั่งให้ทำโน่นทำนี่อีก รู้ไม่จริงแล้วอยู่เฉยๆไปเลยดีกว่า อยู่เฉยๆก็พอเดี๋ยวเสร็จแล้วจะบอก"
"เห็นม่ะ ขายของให้กับที่นี่หมูๆ เดี๋ยวตอนเอ็งpresentระบบนะ พูดเรื่องยากๆไว้นะ เดี๋ยวพี่แกก็ไม่กล้าถาม ก็ปล่อยผ่านเองแหละ"

ในขณะที่ถ้าเป็นอีกแบบจะนินทาว่า

"โอ้โฮ โคตรเคี่ยวเลยว่ะ เมื่อวานโดนพี่แกว่ามา ดันทำไม่รายละเอียดเท่าที่แกสั่ง วันนี้ให้งานใหม่เพิ่มอีก ยากอิบเลย"
"พรุ่งนี้จะต้องไปpresent ให้ลูกค้ารายนี้ฟัง เอ็งต้องเตรียมรายละเอียดให้พร้อมเลยนะโว้ย คราวก่อน พี่แกเล่นไล่ถามลงรายละเอียดยิบเลย ขืนตอบไม่ได้อดขายแน่เลย เคี่ยวจริงๆที่นี่"

ถ้าวันนี้พวกคุณยังคุยกันเรื่องจะสอบ cert ล่ะก็ ลองคิดให้ไกลอีกสักหน่อยแล้วกันว่า อยากจะโตไปเป็นแบบไหน แล้วก็ย้อนกลับมาถามตัวเองอีกทีว่า cert สำคัญจริงเหรอ? TK มันไม่ดีจริงเหรอ? ควรใช้ TK อย่างไร?



ข้อแนะนำในการสอบ Certification

ผมอยากจะนำประสบการณ์ส่วนตัวที่ผ่านมาสรุปเป็นข้อแนะนำ เผื่อว่าถ้าใครที่คิดว่าน่าจะพอช่วยได้ อาจสามารถนำไปปฏิบัติได้

1. ภาษาอังกฤษคือสิ่งสำคัญ
เริ่ม แรกผมเป็นคนที่เกลียดภาษาอังกฤษเป็นที่สุด ที่เรียนผ่านมาเกรดที่ดีที่สุดที่ได้คือ C เมื่อต้องมาอ่าน text book ถือเป็นความทรมานอย่างที่สุด ผมอ่านได้แค่ 1 หน้า ก็ต้องเปิด dict ตั้งไม่รู้กี่รอบ เคยยอมแพ้ไม่อยากอ่าน text มาตั้งไม่รู้กี่หน อ่านแล้วรู้สึกอยากจะอ๊วก ทรมาน อย่างที่หลายๆคนเป็นอยู่ขณะนี้ เชื่อว่าหลายๆคนคงเข้าใจความรู้สึกผมดี
แต่ทุกวันนี้ text microsoft ขนาด 1000หน้า ผมอ่านจบได้ในเวลาแค่สองอาทิตย์เท่านั้น (ผมไม่เคยอ่านตอนเวลาทำงาน เพราะไม่มีเวลาได้อ่านเลย ผมมีเวลาได้อ่านแค่ช่วงเช้า ช่วงค่ำ และเสาร์อาทิตย์) ผมก็ไม่อยากจะเชื่อตัวเองเหมือนกันว่าจากวันนั้นจนมาถึงวันนี้ มันจะทำได้ขนาดนี้ ผมอยากสรุปข้อปฏิบัติและข้อคิดของผมไว้อย่างนี้ครับ

- จงลืมความรู้สึกเกลียดการอ่านภาษาอังกฤษซะ แล้วจงตั้งหน้าตั้งตาอ่านและเปิด dict ให้มากที่สุด ใช่ฟังดู พูดง่ายแต่ทำยาก แต่ก็ใช่อีกนั่นหล่ะที่ว่า แล้วมีใครล่ะที่บอกว่าการจะก้าวขึ้นมาเป็นมือโปรได้นั้นเป็นเรื่องง่ายๆ คนที่อยากจะข้ามแม่น้ำแต่ไม่กล้าที่จะเปียก แล้วเมื่อไหร่จะว่ายข้ามมาอีกฝั่งได้ ถ้าอยากจะข้ามมาอีกฝั่ง ก็ต้องเลิกกลัวที่จะเปียก แล้วจงตั้งหน้าตั้งตาว่ายข้ามมาซะ
- ทุกครั้งที่เปิด dict ให้จดคำศัพท์ไว้ในสมุดจดเล่มเล็กๆ แล้วพกติดตัวตลอด ว่างเมื่อไหร่ก็เอามาท่อง แต่ข้อสำคัญมากๆที่ต้องตั้งเป็นกฏคือ ภายในวันหนึ่งต้องท่องให้ได้ไม่ต่ำกว่า 25 คำ และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ถ้าคุณไม่มีกฏของตัวเอง คุณก็จะท่องแค่วันละห้าคำ และสุดท้ายก็ขี้เกียจไม่ท่อง ผมเคยท่องสูงสุดถึงวันละ 250 คำ รวมคำศัพท์ทั้งหมดที่ท่องกว่าหมื่นคำ ทำอย่างนี้อยู่กว่า หกเดือน บอกได้คำเดียวว่า big improvement อย่าลืมข้อสำคัญ กฏคือกฏ ตั้งโปรแกรมใส่สมองไว้ เช่นวันละ 25 คำ ไม่ว่าฟ้าจะถล่มดินจะทลายวันนี้ก็ต้องท่องให้ได้ 25 คำ
- ไปหาซื้อนิตยสาร future มาอ่านซะ เล่มละ 20 (ไม่รู้ว่าขึ้นราคาหรือยัง) ในนี้จะเป็นเนื้อหาภาษาอังกฤษพร้อมคำแปลตลอดทั้งเล่ม เขาออกทุกๆสองสัปดาห์ แล้วให้บังคับตัวเองว่าต้องอ่านทุกหัวข้อในเล่มนั้นให้จบให้ได้ภายในสอง สัปดาห์ เพราะมันจะออกเล่มใหม่ออกมา ทุกครั้งเมื่อเจอศัพท์ใหม่ก็ให้จดไว้ท่อง นิตยสารเล่มนี้ช่วยให้ผมได้รู้ศัพท์ใหม่ๆเพิ่มขึ้นเยอะมาก อยากแนะนำให้ลองดู

2. วิธีการอ่านหนังสือให้เข้าใจ
- อ่านใจเย็นๆ ไม่ต้องรีบอ่าน ตอนอ่านให้พยายามตั้งข้อสงสัยกับเนื้อหาไว้เสมอ ว่ามันทำงานได้อย่างไร ทำไมมันต้องเป็นอย่างนี้ ทำไมต้องเป็นอย่างนั้น การอ่านแบบคิดตามจะช่วยให้เราเข้าใจเนื้อหาได้ดีขึ้น
- ให้คิดอยู่เสมอว่าเราจะต้องไปสอนคนอื่นเกี่ยวกับเรื่องที่เราอ่าน เพราะฉะนั้นพออ่านจบแต่ละหัวข้อ ก็ให้จำลองภาพในใจว่าเรากำลังสอนเรื่องนี้ให้คนอื่นฟังอยู่ แล้วเราก็พูดในใจสอนไปเรื่อยๆ แล้วก็จำลองในใจเพิ่มว่าจะมีนักเรียนถามเราในเรื่องนี้ ในมุมมองแบบนี้ แล้วก็ให้เราพยายามตอบเขาในใจ วิธีการแบบนี้จะช่วยให้เราเข้าใจเนื้อหามากขึ้น เพราะทุกครั้งที่เรานึกว่าเราสอนคนอื่น เราก็จะรู้เองแหละว่าเรายังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องไหน เพราะเราไม่สามารถเรียบเรียงคำพูดในใจตามเนื้อหาเพื่อสอนคนอื่นได้ จากนั้นก็ให้เราไปอ่านทวนในเรืองนั้นๆอีกทีจนกว่าเราจะเรียบเรียงคำพูดในใจ เพื่อสอนคนอื่นได้
- หลักอย่างหนึ่งที่ต้องใช้เมื่อจะเริ่มอ่านเนื้อหาในหัวข้อใดๆ ก่อนอ่านเราจะต้องรู้ตัวก่อนว่า เรากำลังจะอ่านเรื่องอะไร มันจะเอาไปใช้ในงานอะไร คนส่วนใหญ่มักจะอ่านพอผ่านๆ หรือข้ามไม่อ่าน introduction ของแต่ละหัวข้อ ทั้งๆ ส่วนนี้เป็นส่วนที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดที่จะให้เราเข้าใจในเนื้อหาราย ละเอียดที่กำลังอ่านนั้นว่าเขาจะพูดเรื่องอะไร ถ้าเราไม่รู้ว่าตอนนี้เราอยู่ตรงจุดไหนของเนื้อหาในหนังสือเล่มนั้น เรากำลังจะอ่านเรื่องอะไร เพื่ออะไรล่ะก็ มันก็จะงงเพราะมองไม่เห็นภาพใหญ่ เพราะฉะนั้นอย่าลืมบท introduction ของแต่ละบท และบอกตัวเองให้ได้ว่า เรากำลังจะเรียนรู้เรื่องอะไรต่อไป แล้วค่อยเริ่มอ่านรายละเอียดของมัน

3. จำเป็นต้องไป เทรนหรือไม่ อันนี้ขึ้นกับแต่ละคน แต่มีข้อแนะนำดังนี้
- สำหรับมือใหม่หัดขับ แนะนำให้ไปเทรนซะ เพราะถ้าอ่านหนังสือเอง คุณจะงงจนจับต้นชนปลายไม่ถูก รู้ครึ่งๆกลางๆ ถึงแม้การอ่านเองจะช่วยให้สอบผ่าน แต่ก็ไม่ได้ทำให้พื้นฐานคุณแน่นพอ แล้วพอนานไปๆ พื้นฐานที่ไม่แน่นของคุณก็จะกลายเป็นข้อจำกัด เป็นอุปสรรค ไม่สามารถทำให้คุณก้าวไปข้างหน้าได้ไกลพอ พื้นฐานคือสิ่งสำคัญที่สุด โดยเฉพาะระดับ ccna, ccda, ccnp, ccdp, mcsa เป็นต้น สำหรับผม เนื้อหาในระดับ ccnp ถือว่าเป็นแค่พื้นฐาน เมื่อเทียบกับงานด้าน networkจริงๆ คุณเชื่อไหมว่าเอาแค่เรื่อง OSI 7 layer เรื่องเดียวที่เป็นบทแรกของ ccna ที่ทุกคนที่ผ่านคอร์สนี้มาจะพูดเหมือนกันหมดว่าเข้าใจมันแล้ว กลับเป็นเรื่องที่หาคนรู้เรื่องนี้จริงๆจังๆได้ยากเต็มที ฟังดูทุกคนอาจเถียงผมในใจว่าไม่จริง เพราะทุกคนสามารถอธิบายได้คล่องปรื๋อ ไม่เห็นมันจะติดขัดตรงไหน ผมก็จะตอบว่า อือใช่ ผมก็เคยเป็นอย่างคุณมาก่อนนั่นแหละ แต่อยากจะบอกว่า เนื้อหาใน cisco ทั้งส่วนของ ccna, ccnp หรือแม้กระทั่งที่เรียนๆกันมาในมหาลัยนั่นหน่ะ เป็นแค่กระผลีกเดียวของ OSI 7 layer จะบอกให้ว่า ในงาน network ที่มีความซับซ้อนสูง ความเข้าใจ OSI ตามที่เรียนมาแค่นั้นไม่พอหรอก ผมจึงอยากจะแนะนำให้ไปเรียนดีที่สุด เพื่อสร้างพื้นฐานให้แน่น แล้วก็อยากจะคำนวณให้ดูหน่อยว่า คอร์สราคา 15,000 เรียน 5 วัน วันละ 7 ชั่วโมง ตกชั่วโมงละ 428บาท ถ้าคุณยอมเสียเงินถึงชั่วโมงละ 428 บาท แต่ไม่ยอมปริปากถามคนสอนเลยแม้แต่คำถามเดียวแล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาเรียนอย่าง เดียว อย่างนี้ผมว่าคุณใช้เงินไม่เป็นแล้วล่ะ จำไว้อย่าง ที่คุณต้องไปเรียนกับคนสอนเพราะต้องการไปถามเพื่อให้เขาอธิบาย ไม่ใช่ไปเอาแต่นั่งฟังอย่างเดียวนะครับ
- สำหรับคนที่มีพื้นฐานพอสมควรแล้ว น่าจะอ่านหนังสือเอาเองได้ แต่ถ้าไม่ขัดสนเรื่องเงินทองนัก หรือบริษัทจ่ายให้ได้ ก็ขอแนะนำว่าให้ไปเรียนก็จะดีกว่า
- สำหรับคนที่มีพื้นฐานแน่นแล้ว แนะนำให้อ่านเอง เพราะต่อไปจะไม่มีคอร์สในระดับที่ให้คุณเรียนได้อีกแล้ว มีทางเลือกเดียวคือต้องศึกษาด้วยตนเอง แต่มีข้อแนะนำคือ ถ้าเป็นไปได้ ให้คบหาเพื่อนที่พอจะรู้เรื่องในระดับใกล้กัน หรือมีเป้าหมายเดียวกันเป็น buddy จะได้ช่วยกันคิดช่วยกันหาคำตอบตอนที่เราต้องการความช่วยเหลือ
- การเลือกที่เรียนนั้นสำคัญมาก มีข้อแนะนำดังนี้
- สถานที่เรียน ไม่ใช่สิ่งสำคัญ ห้องเรียนที่ใหญ่และสวย ไม่ได้ช่วยให้เราเข้าใจเนื้อหามากขึ้น
- การเป็น vendor authorized ไม่ใช่ข้อสรุปเสมอไปว่าจะดี ต้องดูที่ตัวคนสอนเป็นหลัก แต่แนวโน้มคือมักจะดี แต่ข้อเสียคือแพงเท่านั้น
- คอร์สราคาถูก เป็นสิ่งที่ต้องดูให้ดี ข้อสำคัญให้ดูที่ตัวผู้สอนเป็นหลัก อย่าเลือกผู้สอนโดยดูที่ cert ที่เขามีอย่างเดียว ควรดูจากประสบการณ์ของเขาร่วมด้วย มีหลายที่ที่อาจารย์ทำได้เพียงแค่มายืนอ่านหนังสือให้ฟัง จำไว้อย่างหนึ่ง ของดีราคาถูกไม่มีในโลก ยิ่งถูกต้องยิ่งดูให้ดี ของดีในราคาสมเหตุสมผลต่างหากที่ควรถูกเลือก
- จงเลือกเรียนกับคนที่อยากจะสอน ให้ระวังพวก instructor ที่ทำงานตามหน้าที่ เพราะสมัครงานเข้ามาเป็นคนสอน เพราะพวกนี้จะสอนจนเบื่อการสอนแล้วสุดท้ายก็จะทำให้เขาสักแต่ว่าสอนไปวันๆ
- เลือกที่เรียนที่มีอุปกรณ์จริงให้ได้ลองเล่น แต่บางคลาสก็ต้องยอมรับว่าเขาอาจไม่สามารถหาอุปกรณ์จริงให้มาลองเล่นได้ เช่นพวก IPS, VPN, ATM เป็นต้น
- สรุปว่า ข้อสำคัญให้ดูที่คนสอน เราจะเรียนรู้เรื่งไม่รู้เรื่อง คุ้มเงินไม่คุ้มเงิน ก็อยู่ที่คนสอนนี่แหละ วิธีจะรู้ว่าใครสอนดี ให้ postใน web board ถามเอาจากคนที่เคยไปเรียนมา แต่ให้ระวังหน้าม้าใน web board ไว้ด้วย ผมเห้นมี post เชียร์กันเองด้วย ใครที่เคยไปเรียนมาแล้วก็ให้ช่วยเพื่อนๆหน่อยแล้วกัน คนสอนเองจะได้รู้ตัวด้วยเพื่อให้เกิดการพัฒนา คนเรียนเองก็จะได้รู้ว่าที่ไหนที่ควรลงทุนไปเรียน

4. จำเป็นต้องฝึกหัดหรือไม่
ตอบได้โดยไม่ลังเลเลยว่าจำเป็นอย่างยิ่ง
- คนที่ท่องหนังสือ จะลืมในสิ่งที่เขาเคยท่องภายในช่วงเวลาไม่เกิน 1 เดือน
- คนที่อ่านหนังสือจนเข้าใจ จะลืมในสิ่งที่เขาเคยเข้าใจในช่วงเวลาไม่เกิน 1 ปี!!
- คนที่ฝึกหัดทำจนช่ำชองจะทำให้ มือของเขาจำแทนสมอง และนั่นจะทำให้เขาจำมันได้ไปอีกนาน
ถ้าเป็น microsoft ก็พอจะหาเครื่องและ vmware มาช่วยแก้ขัดได้ แต่ถ้าเป็น sun, cisco ก็แล้วแต่ดวงว่าบริษัทใครจะมีอุปกรณ์ว่างให้เล่น แต่ในปัจจุบันมี Cisco router simulator (C3600, C7200) ที่รันบน PC ให้เล่นกันได้แล้ว ให้ลองเริ่มต้นจาก link นี้นะครับ http://www.ipflow.utc.fr/index.php/Main_Page อีกกรณีหนึ่งคือไปซื้ออุปกรณ์มือสองมาลองเล่นดู อาจลองดูที่ IT Mall ชั้น 3 จะมีร้านขายของพวกนี้อยู่ครับ

5. การเตรียมตัวสอบ มีข้อแนะนำดังนี้
-อย่าใช้เวลาเตรียมตัวนานเกินไปต่อหนึ่งวิชา เพราะจะเกิดอาการ ได้หน้าลืมหลัง จำข้างหลังได้แต่ลืมข้างหน้า ช่วงเวลาที่เหมาะสมคือ 3-4 อาทิตย์ แล้วก็สอบ ผมหมายถึงให้อ่านเนื้อหาในจบก่อนรอบนึง จากนั้นให้กำหนดวันสอบ 3-4 อาทิตย์ข้างหน้า จากนั้นก็เริ่มเตรียมตัวรีวิวเนื้อหาทั้งหมดอีกรอบ
-ฤกษ์งามยามดีที่จะเข้าห้องสอบที่ดีที่สุดคือ เช้าวันจันทร์ 10AM เพราะวันเสาร์อาทิตย์จะเป็นช่วงที่เรา concentrate กับเนื้อหาได้มากที่สุด แล้ววันจันทร์จะเป็นวันที่เหมาะที่สุด ช่วง 10AM เป็นช่วงที่ระดับน้ำตาลในเลือดที่ไปเลี้ยงสมองขึ้นระดับสูงสุด (สมมุติว่าทานข้าวเช้าตอน 8AM) เป็นช่วงที่สมองทำงานได้ดีที่สุด จากประสบการณ์ของผมที่สอบมากว่าสามสิบกว่าครั้ง นี่เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด
-ถ้าตัดสินใจสอบวันจันทร์เช้า เย็นวันอาทิตย์ให้อ่านหนังสือได้ถึงแค่ ุ6PM หลังจากนั้นให้ไปออกกำลังกาย หาเรื่องอื่นที่ไม่เครียดทำ เพื่อให้ผ่อนคลายที่สุด แล้วห้ามนอนเกินสี่ทุ่ม หรือต้องมีเวลานอน7-8 ชั่วโมง
-จงจำไว้อย่างหนึ่งว่า ถ้าเราพยายามมาตลอดเวลาหนึ่งเดือน จนความรู้มีอยู่เต็มหัว แต่พอเข้าห้องสอบ สมองกลับไม่พร้อมทำงานเต็มประสิทธิภาพจนไม่สามารถดึงความรู้ออกมาใช้งานได้ ก็เท่ากับว่าหนึ่งเดือนที่เสียมาดูช่างไม่คุ้มเอาเสียเลย เมื่อรู้จักที่จะใส่อะไรเข้าไปในหัว ก็ต้องรู้วิธีดึงมันออกมาจากในหัวเมื่อถึงเวลาต้องดึงด้วยเช่นกัน

6. ทฤษฏีคือสิ่งสำคัญ
- มีข้อน่าสนใจอย่างหนึ่งที่เชื่อว่าหลายคนจะเข้าใจกันผิดคือ คนทั่วไปมักจะเชื่อว่าคนที่มีประสบการณ์การทำงานหลายๆปีมักจะเป็นคนที่เก่ง จริง จากประสบการณ์ของผมที่ได้ทำงานกับมืออาชีพหลายๆคนทั้งไทยและเทศ ผมพอจะสรุปได้ว่า
- ในงานระดับพื้นฐาน คนที่มีประสบการณ์การทำงานมาเยอะ จะเก่งกว่าคนที่อ่านจากหนังสือ ข้อนี้จริง
- ในงานระดับปานกลาง คนที่มีประสบการณ์การทำงานมาเยอะ จะเก่งกว่าคนที่อ่านจากหนังสือ ข้อนี้ก็จริง แต่ถ้าเจอคนที่อ่านหนังสือและมีระสบการณ์มาด้วยบ้าง ก็จะสูสีกัน
- ในงานระดับซับซ้อนสูง คนที่มีประสบการณ์การทำงานมาเยอะแต่ไม่มี cert ติดตัวเลย จะไม่สามารถทำงานในระดับนี้ได้ !!ฟังดูแปลกและไม่น่าเชื่อ คนที่จะทำงานในระดับซับซ้อนสูงจะต้องมีทั้งประสบการณ์และ cert(ระดับสูง) ผมอธิบายได้ว่า คนที่มีประสบการณ์มาเยอะนั้น เขาจะมีโอกาสได้เจอปัญหาที่มีอยู่หน้างานค่อนข้างเยอะ แต่เขาจะมีโอกาสได้เจอปัญหาที่มักเกิดขึ้นในสภาพเข้าใกล้ ideal case หรือกรณี specific requirement ได้ค่อนข้างยาก ถ้าเขาไม่ใฝ่รู้อ่านหนังสือมากๆซึ่งมักมีเนื้อหาไปแอบๆตามการสอบ cert ต่างๆ เขาก็จะไม่สามารถแก้ปัญหาในระดับยากๆได้ ไม่ใช่ว่าเขาไม่เก่งแต่เพราะเขาไม่เคยรู้เกี่ยวกับปัญหาของเทคโนโลยีนั้นมา ก่อนเลย

ผมอยากจะบอกว่า ที่ทุกคนเชื่อในประสบการณ์ ยิ่งทำมากประสบการณ์ก็จะมากก็จะเก่ง ทฤษฏีเป็นเรื่องรอง เน้นลงมือจริงเป็นหลักคือหนทางที่ดีที่สุด นั้นจริงแต่ไม่จริงถึงที่สุด ในการทำงานระดับโลก (ขนาดมูลค่า network มากกว่า 100 million USD) คนพวกนี้ไม่มานั่งเถียงกันในเรื่องการ config เลย เพราะหลับตาทำกันได้หมดทุกคนแล้ว แต่ต้องมานั่งเถียงกันในเรื่องทฤษฏี เรื่อง protocol เรื่อง interworking กันทั้งนั้น มีถึงขั้นหาข้อสรุปไม่ได้ จนต้องกำหนดเป็น protocol ขึ้นมาใหม่เอง แล้วเตรียมเสนอเข้าไปใน IETF, RFC หรือบางทีก็เจอ bug ของ coding ที่ผิดไปจาก standard ที่กำหนดไว้ สุดท้ายก็บอกให้ developer แก้ coding ให้ตามที่ต้องการก็มี ผมเคยต้องมานั่งเถียงกับคนประเภท sniffer เดินได้ บอกได้คำเดียวว่าคนพวกนี้มันสุดๆจริงๆ เขาสอนผมว่าการจะเป็นมือโปร ทฤษฏีต้องแน่น เพราะถ้าไม่แน่นพอก็ไม่สามารถมองเห็นปัญหาได้อย่างถูกต้อง
ผมอยากจะบอกว่าคนที่เก่งจริงนั้น ทฤษฏีต้องแน่นเปี๊ยะ ไม่งั้นจะมองปัญหาไม่ขาด อย่าลืมว่าอุปกรณ์ทุกอย่างทำงานตาม coding ที่เขียนไว้ในตัวมันทั้งนั้น และ coding เหล่านั้นก็เขียนขึ้นมาตาม standard ต่างๆที่เป็นข้อกำหนดเอาไว้ ของพวกนี้ไม่ใช่ไสยศาสตร์ มันคือ 1 กับ 0 เท่านั้น เพราะฉะนั้นอย่าลืม ทฤษฏีต้องแน่นเข้าไว้ พื้นฐานดีจะสร้างตึกสูงยังไงก็ได้

จากที่เขียนมาทั้งหมดให้ถือว่า เป็นแต่เพียงความคิดเห็นและข้อแนะนำจากผมเท่านั้น อยากให้ลองคิดตามหรือลองทำดู ถ้าได้ผลก็อยากให้มุ่งมั่นที่จะทำต่อ และถ้าไม่ได้ผลก็อยากให้ลองวิธีอื่นๆที่อาจคิดและทดลองเอง เพราะวิธีแต่ละแบบไม่มีทางที่จะเหมาะสมกับคนทุกคนได้ แต่ที่ไม่อยากให้ทำคือ พอลองทำแล้วไม่ได้ผล ก็ล้มเลิกความตั้งใจทั้งหมดไป อย่างน้อยตัวผมเองก็ได้พิสูจน์มาแล้วว่า ที่ผ่านมาวิธีการเหล่านี่ล้วนใช้ได่ผลจริง

Thanks : www.compspot.net

ไม่มีความคิดเห็น: